ผัดไทยไม่ใส่เส้น นวนิยายรวมเล่มล่าสุดของนักเขียนนวนิยายมืออาชีพ ชมัยภร แสงกระจ่าง ผู้ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เล่มนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการสนทนากับโชเฟอร์แท็กซี่ขณะโดยสารกลับบ้าน เคยตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารสกุลไทย ส่งผลให้ “กันเกรา พิลังกาสา” พระเอกของเรื่องเข้าไปอยู่ในใจนักอ่านผู้เป็นแฟนของชมัยภร ตั้งแต่นวนิยายเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปเพียงไม่กี่ตอนเท่านั้น

เริ่มต้นเรื่องด้วยเหตุการณ์ที่ “กันเกรา” ขับแท็กซี่ตระเวนหาผู้โดยสารย่านราชดำเนินในยามดึก เด็กสาวคนหนึ่งโบกเรียกรถเขา ข้างกายเธอมีเพื่อนชายซึ่งอยู่ในอาการมึนเมาอีก 2 คน เขาสรุปในใจว่าเด็กพวกนี้น่าจะเพิ่งผ่านพ้นการดื่มมาจากร้านเหล้าแถวถนนข้าวสาร เพื่อนชายคนหนึ่งในนั้นจะตามเด็กสาวขึ้นรถ แต่เธอปฏิเสธ ก่อนบอกจุดหมายปลายทางกับเขาว่า “ไปลำลูกกา” ซึ่งนับว่าไกลจากถนนราชดำเนินลิบลับ

เด็กสาวนาม “ดวงศศี” หรือ “ซูซี่” ผู้นี้ทำให้เขานึกถึง “แก้วตา” ลูกสาววัย 5 ขวบ ขณะขับรถเขาเริ่มคิดไปต่างๆนาๆ ว่าหาก “แก้วตา” โตเป็นสาว แล้วทำตัวอย่างเด็กสาวคนนี้เขาจะทำอย่างไร นั่นเลยทำให้เขาลืมตัวว่า “ดวงศศี” เป็นลูกค้า และเขาเป็นเพียงคนขับแท็กซี่ เขาอบรมเธอมาตลอดทาง โดยเธอไม่โต้เถียงจนถึงบ้าน เด็กสาวไม่โกรธ แต่กลับชอบใจในการกระทำเช่นนั้นของเขา เธอถามชื่อและขอเบอร์โทร.เขา เผื่อไว้เรียกใช้บริการในโอกาสหน้า

3 วันต่อมา “ดำรู” นายอำเภอพยุหคีรี ผู้เป็นพ่อของ “ดวงศศี” โทร.มาขอบคุณ “กันเกรา” ที่ช่วยอบรมลูกสาว พร้อมเชิญเขาไปร่วมทานข้าวเพื่อเป็นการตอบแทน หลังจากนั้นยังว่าจ้างให้เขาช่วยสะกดรอยตามลูกสาวผู้มีนิสัยแก่นแก้วเกินหญิงด้วยความเป็นห่วง

เพียงแค่บทแรกของ”ผัดไทยไม่ใส่เส้น” ชมัยภรก็สามารถเรียกความสนใจจากผู้อ่านให้อยากรู้จักกับ “กันเกรา” มากขึ้น

บทต่อมาเป็นการเล่าย้อนถึงปูมหลังของ “กันเกรา” เขาเป็นลูกชายคนเล็กที่พ่อไม่รัก หลังแม่ตายเพราะโรคมะเร็ง เขาจึงกลายเป็นหมาหัวเน่า ในขณะที่พี่ชายของเขาเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนที่พ่อตามใจทุกอย่าง นั่นเลยทำให้ “กันเกรา” ในวัยสิบห้าหนีออกจากบ้าน ด้วยการติดรถขายผักเพื่อมาหางานทำในกรุงเทพฯ

“กันเกรา” เริ่มต้นงานครั้งแรกด้วยการรับจ้างเข็นผักและอาศัยนอนในตลาด ชื่อของเขาที่แปลกและเชยถูกพ่อค้าแม่ค้าเรียกขานกันอย่างง่ายๆ ว่า “ไอ้เกา” ที่เมื่อใครๆ ได้ยินก็ต่างพากันขบขัน

หลังจากที่สามารถเก็บหอมรอมริบจนได้เงินจำนวน 200 บาท “กันเกรา” ก็คิดโบยบินไปหาสิ่งที่ดีกว่า “กันเกรา” นั่งรถเมล์มาลงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่เดินวนจนรอบก็ยังมองไม่เห็นทางไป ในที่สุดเขาก็พบวัดแห่งหนึ่ง “กันเกรา” คิดว่าจะขออาศัยวัดนอนสัก 2-3 คืน พร้อมกับการหางานใหม่ทำ เขาทำตัวเป็นลูกศิษย์วัดที่ดี แต่กลับเจอขาใหญ่ประจำวัดข่มขู่รีดไถ

“กันเกรา” โชคร้ายซ้ำอีก วันหนึ่งขณะเดินตระเวนหางานทำ เขาบังเอิญชนเข้ากับหญิงวัยกลางคนริมถนน ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามากระชากแขนเขาแล้วต่อว่า “กันเกรา”มัวแต่ตกใจ เลยไม่รู้ว่าเงินที่เหลือติดกระเป๋าถูกล้วงออกไปตั้งแต่เมื่อใด

แต่ในที่สุด “กันเกรา” ก็ได้ทำงานก่อสร้างร่วมกับคนงานอีกเกือบ 20 ชีวิต หัวหน้างานชื่อ “เก่ง” พาเขาขึ้นรถกระบะไปยังไซต์งานแถวบางนา “กันเกรา” ไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ เขาก้มหน้าก้มตาทำงานเก็บเงิน ด้วยมีความหวังอยู่ตลอดเวลาว่าเขาอยากเรียนหนังสือ

เดือนหนึ่งผ่านไป “กันเกรา” เก็บเงินได้ 600 บาท เขาตั้งใจว่าจะเอาไปฝากธนาคาร เพราะหากอยู่กับตัวอาจถูกขโมย เนื่องจากเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดกับคนงานคนอื่น โดยที่ยังหาตัวคนขโมยไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่“กันเกรา”จะทำตามตั้งใจ เมื่อเขาถูกพวกคนงานชวนกินเหล้า ด้วยความอยากลองเขาจึงไม่ปฏิเสธ ผลคือเขาเมาไม่ได้สติ มารู้ตัวอีกทีเงิน 600 บาทก็อันตรธานหายไปแล้ว นั่นเลยทำให้ “กันเกรา” ประกาศกับตัวเองว่า เขาจะไม่กินเหล้าอีก

“กันเกรา” นำเรื่องอยากเรียนต่อปรึกษา “หัวหน้าเก่ง” แม้ “หัวหน้าเก่ง” จะไม่เห็นด้วย เพราะไม่อยากขาดกำลังสำคัญอย่าง “กันเกรา” แต่เขาก็ให้ความหวังว่า หลังจากก่อสร้างหมู่บ้านแห่งแรกเสร็จสิ้นในเวลา 3 ปี ไซต์งานใหม่จะย้ายไปอยู่แถวฝั่งธนฯ ที่นั่นคงพอมีโรงเรียน กศน. คำพูดของ “หัวหน้าเก่ง” ทำให้ความหวังที่เคยริบหรี่ของ “กันเกรา” ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

โครงการหมู่บ้านเสร็จทันกำหนด แต่ยังไม่ทันที่จะย้ายไซต์งาน “หัวหน้าเก่ง” ก็โดนตำรวจจับในข้อหายิงน้องชายเจ้าของบริษัท สาเหตุมาจากเรื่องการโกงค่าแรง นั่นเลยส่งผลให้คนงานที่ “หัวหน้าเก่ง” หามาถูกไล่ออกทั้งหมด รวมทั้ง “กันเกรา” ด้วย

“พงษ์” คนงานอาวุโสที่ “กันเกรา” ให้ความเคารพนับถือชวนเขาไปหางานใหม่และหาที่พักอยู่ด้วยกัน เด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธ ขณะที่ “กันเกรา”ได้งานทำเป็นเด็กส่งของให้กับร้านชำ “พงษ์”ยังคงตกงาน และดื่มเหล้ากับเพื่อนบ้านที่เช่าห้องติดกันอยู่เป็นนิจ จนไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง เมื่อ “กันเกรา”ไม่ให้ยืม “พงษ์”จึงต่อว่าเขาบ่อยครั้ง

จนมาวันหนึ่ง หลัง“กันเกรา”กลับจากทำงาน ทั้งสองมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง เขาถูกเพื่อนร่วมวงเหล้าของ“พงษ์”ทำร้าย ผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องเข้ามาช่วย และพลาดท่าโดนแทงตาย

“กันเกรา” จึงลาออกจากงานร้านชำแล้วกลับบ้านเพื่อไปเอาวุฒิการศึกษาที่โรงเรียนเก่า เขาไม่ได้เข้าบ้านตัวเอง แต่ไปพักอยู่ที่บ้านอา นั่นเลยทำให้เขาทราบข่าวร้ายว่า ที่ดินซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของแม่ถูกพ่อเอาไปจำนองไว้กับนายทุนหน้าเลือด เพื่อนำเงินมาสนองตัณหาของลูกชายคนโต ที่ไม่รู้ว่าหนีหน้าหายสาปสูญไปไหน

เสร็จธุระแล้ว “กันเกรา” กลับกรุงเทพฯ เย็นวันนั้น ตระเวนหางานทำตามป้ายรับสมัครงานแถวหัวลำโพง เขาตัดสินใจสมัครเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอพาร์ตเมนต์ใกล้มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อหาโอกาสเรียนต่อในอนาคตอันใกล้

ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ “กันเกรา” มีโอกาสได้รู้จักกับ “ลัดดาวัลย์” หญิงสาวรุ่นพี่ที่ทำงานผับ เธอเป็นคนเดียวที่เรียกชื่อเขาได้อย่างถูกต้อง นั่นเป็นสิ่งแรกที่ทำให้“กันเกรา”รู้สึกประทับใจ อีกทั้ง “ลัดดาวัลย์” ยังให้ความสนใจในตัวเขา ซื้อของกินมาฝากอยู่เสมอ จนในที่สุดเธอก็มาหาเขาถึงห้องเช่า นั่นเลยทำให้“กันเกรา”ปล่อยทั้งตัวปล่อยทั้งใจไปกับเธอ

ความหวานหอมอยู่กับ“กันเกรา”ได้ไม่นานนัก ขณะปฏิบัติหน้าที่ เขาเห็น “ลัดดาวัลย์” นั่งรถเข้ามากับผู้ชายคนหนึ่ง พิษรักแรงหึงทำให้เขาตามคนทั้งสองไปถึงห้อง อาละวาดด่าทอฝ่ายหญิง ก่อนถูกชาย 3 คนที่วิ่งตามมารุมทำร้าย ในที่สุดเขาก็ถูกเจ้าของอพาร์ตเมนต์ไล่ออก

หลังจากนั้น เขาก็ตัดใจจาก “ลัดดาวัลย์” ชีวิต “กันเกรา” ระหกระเหินเหมือนนกพลัดถิ่น เขาเปลี่ยนงานอีกหลายแห่ง และพบเจออุปสรรคมากมาย

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร “กันเกรา” ก็ไม่เคยลืมปณิธานของตัวเองที่ว่า เขาต้องศึกษาต่อให้ได้ในระดับปริญญาตรี และที่นอกเหนือไปกว่านั้น เขาต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อหาเงินจำนวนหลักแสนไปไถ่ที่ของแม่คืนมา ก่อนที่มันจะถูกยึด นี่จึงเหมือนเป็นระเบิดเวลาที่ทำให้ผู้อ่านลุ้นไปกับชะตากรรมของ “กันเกรา”


“ลัดดาวัลย์”ขอกลับมาคืนดีกับเขาอีก ในขณะเธอกำลังตั้งครรภ์ “กันเกรา”กลายเป็นพ่อคนโดยไม่รู้ตัว ชีวิตของเขามาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง หลายสิ่งหลายอย่างผ่านเข้ามา รวมทั้งคนดี และคนไม่ดี ขณะที่ “ดวงศศี” และพ่อของเธอยังคงเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขาอยู่เนืองๆ

เส้นทางชีวิตของ “กันเกรา” เต็มไปด้วยขวากหนามโดยแท้ ทว่ามันก็สอนให้เขาได้เรียนรู้ ต่อสู้ และพยายามเอาชนะอุปสรรคที่ประดังประเดเข้ามา ในที่สุด ความมุมานะบากบั่นก็ส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จในบั้นปลาย
……………………………………………………………………………………………………………………………………….

ผัดไทยไม่ใส่เส้น ไม่ได้เป็นเพียงหนังสือที่อ่านสนุกเท่านั้น หากแต่ยังแฝงแง่คิดเอาไว้มากมาย อุปสรรคของใครที่ว่าหนักหนาแล้ว ถ้าได้มาสัมผัสชีวิตของ “กันเกรา” สิ่งที่ว่าหนักหนานั้นอาจกลายเป็นเรื่องขี้ผงไปในทันที

ทุกสถานการณ์ที่ “กันเกรา” เผชิญ ล้วนตอกย้ำความเชื่อตามสุภาษิตโบราณที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว / คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ และความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น….อย่างแท้จริง
……………………………………………………………………………………………………………………………………….

ข้อมูลหนังสือ
ผัดไทยไม่ใส่เส้น
สำนักพิมพ์คมบาง
จำนวน 360 หน้า
ราคา 270 บาท

จาก
http://www.thaiwriternetwork.com/twncolumnread.php?id=254