“
…วันเกิดของใครไม่รู้…”

นั่นสิ… วันเกิดของใคร… ก็ไม่รู้
ฉันรู้แต่ว่า…

บนโต๊ะมีเค้กก้อนโต คนมากันเยอะแยะ หลายรุ่นหลายวัย พนักงานเสริ์ฟ
ในร้านมาร้องเพลงอวยพรแถมท้าย เมื่อเห็นว่าถึงเวลาอันสมควร แขกที่นั่งโต๊ะข้างๆ เยื้องๆ ด้านหน้าหรือด้านหลัง ต่างหันมองหาที่มาของเพลงวันเกิดในแบบฉบับภาษาฝรั่ง ทุกคนในร้านปรบมือสมทบเมื่อพนักงานหญิงชายร้องเพลงดังกล่าวจบลง ทำทีว่างานวันเกิดงานนั้นเขารู้จักกันทั้งร้าน เจ้าของวันเกิดยิ้มหน้าบานพาลน้ำตาจะไหล ตื้นตันและยินดีปรีดาเป็นหนักหนากับงานวันเกิดแบบสมัยนิยม

ฉันเองก็เคยเป็นหนึ่งในบรรดาแขกกิตติมศักดิ์ ที่นั่งรับประทานอาหารตรงโต๊ะที่เยื้องๆ กันกับโต๊ะเจ้าของวันเกิดอยู่บ่อยครั้ง แต่ฉันไม่เคยรู้จักใครเลยที่โต๊ะนั้น ฉันไม่รู้หรอกว่าพวกเขาคือใคร แล้วเหตุใดจึงมาจัดงานวันเกิดในร้านอาหารแบบนี้ ฉันรู้แต่ว่าเมื่อใดที่ฉันและเพื่อนๆ ไม่ปรบมือหรือไม่ร้องเพลงวันเกิดตามโต๊ะนั้น สายตาหลายสิบคู่จะจับต้องมาที่โต๊ะของฉันราวกับว่าพวกฉันทำผิดที่ไม่ให้ความร่วมมือ

ฉันเคยคิดเองเล่นๆ ว่า เพราะอะไรคนสมัยนี้จึงต้องมีงานวันเกิด มีเป่าและตัดเค้กและมีของขวัญ สิ่งเหล่านี้ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกันเลยสักนิดกับตอนที่เขาเหล่านั้นเกิดมา เพราะตอนเกิดไม่เห็นมีเค้กก้อนโตรอให้ตัด ไม่เห็นมีใครมายืนรอหน้าห้องคลอดแล้วร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์รับขวัญ … ฉันคงคิดมากไป….

หรือบางทีฉันอาจเอาตัวเองเป็นมาตรฐานก็เป็นได้ที่ตลอดชีวิต ไม่มีเค้กวันเกิดให้ตัด ของขวัญถ้าอยากได้ก็หาเอา อยากฟังใครร้องเพลงอวยพรก็ไปหาถึงที่ หรือโทรศัพท์ไปขอฟังเสียงนั้น งานวันเกิดของฉันไม่มีอะไรมาก ไม่มีใครมาเพราะไม่เคยมีใครจำมันได้

ฉันรู้แค่ว่า เมื่อถึงวันที่ฉันเกิดในช่วงเดือนมีนาคม จะถือเป็นช่วงที่ฤกษ์ดีที่สุดในรอบปีเพราะจะมีแต่งานมงคลสมรส ฉันทำตัวง่ายๆ กับวันนั้นเมื่อมันเวียนมาถึง ก็เพียงตื่นเช้ากว่าทุกๆ วัน ทำกับข้าวชนิดที่คิดว่าพิเศษและอร่อยที่สุดไว้ตักบาตรทำบุญ แล้วฉันก็ไปปฏิบัติหน้าที่ในหนึ่งวันของฉันอย่างไม่มีอะไรพิเศษอีกเช่นเคย

พ่อกับแม่จำไม่ได้หรอก ว่าฉันเกิดวันไหน เพราะท่านมีเรื่องอื่นๆ ให้จดจำมากกว่าเรื่องของฉัน แต่ไม่เป็นไรเลยสำหรับฉัน เพราะเย็นวันนั้นฉันก็จะคลานเข่าเข้าไปกราบขอบคุณท่าน ที่ให้ชีวิตนี้ของฉันได้โลดแล่นไปมาอย่างคุ้มค่า แล้วก็บอกท่านแค่ว่า “วันนี้วันเกิดหนูนะ หนูมาขอพร” เท่านี้เอง ง่ายๆ สั้นๆ แต่ได้พรมากระบุงโกยจากปากพ่อกับแม่ และดูเหมือนเป็นการย้ำกับท่านทั้งสองอีกด้วยว่า “ลูกคนนี้ของพ่อกับแม่ แก่ลงอีกปีหนึ่งแล้ว”

แก่ขึ้น.. หรือเติบโต… ฉันจำมันมาจากฟอร์เวริ์ดเมล์ที่ได้มาจากน้องๆ ที่ทำงาน เพื่อเอาไว้ถามตัวเองเมื่อวันเกิดกำลังจะเวียนมาถึงอีกครั้ง เวลาสามร้อยหกสิบห้าวันที่เคลื่อนผ่าน อาจมีช้าบ้าง เร็วบ้างตามแต่จังหวะของชีวิต มันมักจะทำให้ฉันได้คิดอยู่เสมอว่าฉันได้อะไรจากมันมา ฉันจะเป็นเพียงคนที่แก่ขึ้นตามอายุขัยของกาลเวลา หรือฉันจะเป็นคนที่เติบโตขึ้นตามเรื่องราวที่เก็บเกี่ยวไว้ในแต่ละวัน… ฉันว่ามันตอบยากพอควร แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันยังมีเวลามากพอในการถามและตอบตัวเอง… เพราะฉันนั้นถามตัวเองอยู่ทุกวัน…

อืม… แล้วนั่นงานวันเกิดใครอีกล่ะ… กำลังเป่าเทียนเสียด้วยสิ… แต่ช่างเถอะ! ก็.. งานวันเกิดใครก็ไม่รู้… แล้วฉันจะรู้ไปทำไม…